จงใ ช้ ชีวิตแบบ คน จน แต่ จง คิดแบ บคน รวย

จงใ ช้ ชีวิตแบบ คน จน แต่ จง คิดแบ บคน รวย

คุณแค่ทำตัว จน ไม่ออกไป แฮงก์เอาท์

เสีย เพื่อนห่วยๆ บางคนไป

ไม่ฟังคำพูดพวก ดีแต่ปาก

ทน ทำงานหนัก

ไม่แคร์ว่าใครจะ พล่าม อะไร

กินอะไรแค่ พออยู่ได้

ไม่ เที่ยวพักร้อน ผลาญเงิน

ไม่ต้อง ใช้ชีวิตหรู ทั้งที่ทำได้

ก้มหน้าก้มตาทำอะไร ลำบากๆ

ยอม อดหลับอดนอน ได้

โฟกัสกับ เป้าหมาย ที่เขาว่าเพ้อเจ้อ

ทำตัวแบบที่ คนส่วนใหญ่ ไม่ทำ

แล้วไม่เกิน 5 ปี

คุณจะมีชีวิตใหม่

ที่ สบาย ไปตลอดชาติ !

คุณยอม แลก มั้ย !

ก็แค่นั้นแหละ !

อยู่อย่างจนจะร วย อยู่อย่างร วย จะจน

ในสังคมปัจจุบันไม่มีใครปฏิเสธได้เลยว่า

เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิต

สมัยก่อนเมื่อมีคนพูดว่าเงินสามารถซื้อทุกอย่างได้

ก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งบอกว่า ไม่จริงหรอก

เงินไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้ เช่น เวลา

แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง เงินสามารถซื้อเวลาได้นะ

เช่น นาย A นั่งรถโดยสารหรือรถทัวร์

จากกรุงเทพไปเชียงใหม่กับนาย B ที่ขึ้นเครื่องบินจากกรุงเทพ

ไปลงที่เชียงใหม่ เห็นความแตกต่างไหม?

แปลว่านาย B สามารถซื้อเวลาที่ต้องเสียไป

หากมีเงินเท่านาย A นั่นเอง ดังนั้น

จะเห็นได้ว่าเงินเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ๆ

ในชีวิตปัจจุบัน หากใครเงินน้อยก็ลำบากมาก

ใครเงินมากก็ลำบากน้อย

ยิ่งสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความผันผวนมาก

เกิดเหตุการณ์มากมายที่ทำให้เศรษฐกิจของโล

กระส่ำระสาย สลับขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่เว้นทุกวี่วันแบบนี้

การที่จะสามารถหาเงินให้ได้เยอะ ๆ นั้น

ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ธุรกิจแทบจะทุกสาย

ต่างเริ่มบ่นออกมาว่าขาดสภาพคล่อง

ต้องคอยประคองตัวให้รอดกันไปก่อน

ทำให้มีการมองหาการลงทุนหรือเครื่องมือทางการเงินต่าง ๆ

ที่จะสามารถมาแบ่งเบาภาระของเราให้ได้

ไม่มากก็น้อยหรือมีการให้ความรู้ทางด้านการเงินและมีการปรับ Mind set

ให้แก่คนที่ต้องการร วย ซึ่งประโยคที่ฮิตที่สุดประโยคหนึ่ง

คือ หากเราอยู่อย่างคนจน ก็จะร วย อยู่อย่างคนร วย ก็จะจน

ถ้าเราพยายามแปลความหมายของประโยคนี้

“อยู่อย่างจนจะร วย อยู่อย่างร วย จะจน”

อย่างละเอียด จะเห็นว่า มันก็ค่อนข้างที่จะเป็นความจริงเลยทีเดียว

โดยหากเราทำสลับกับข้อความข้างต้นก็จะทำให้เราจนลงอย่างแน่นอน

เพราะหากเรามีรายได้ 100 แต่เราใช้ 120 แปลว่า

เราใช้เงินในอนาคต 20 และถ้าเราทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ

ดอกเบี้ยจากการใช้เงินในอนาคตก็จะพอกไปเรื่อย ๆ

ทำให้สุดท้ายการเงินของเราก็จะพัง แต่หากเราทำตาม

เรามีรายได้ 100 เราใช้ 80 เราก็จะเหลือเก็บ 20 พอไปเรื่อย ๆ

มันก็จะกลายเป็น 100 เป็นพันได้ในที่สุด

แต่มันก็ยังมีนัยยะบางอย่างซ่อนอยู่เช่นกัน

ไม่ใช่ว่าจะถูกต้อง 100% เสียทีเดียว

เราจะมาลองเจาะลึกกันว่า

ที่บอกว่า ไม่ถูกต้อง 100% คืออะไร

คือ หากเราทำตาม คำพูดข้างต้น 100% โดยไม่มองให้ลึกลงไป

เราอาจจะไม่จนก็จริงอยู่แต่เราก็จะไม่สามารถที่จะร วย ขึ้นได้

เผลอ ๆ แม้จะไม่จน แต่ก็จะค่อย ๆ แย่ลงเรื่อย ๆ

เพราะหากเรามีเงินเท่าเดิม แต่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น

เราก็จะจนลงโดยอัตโนมัตินั่นเอง แต่หากเรามองให้ลึก

โดยเข้าใจความหมายที่แท้จริงที่ประโยคข้างต้นจะสื่อว่า

“อยู่อย่างคนจน คิดอย่างคนร วย ถึงจะร วย

แต่หากอยู่อย่างคนร วย คิดอย่างคนจน อีกไม่นานก็จะจน”

จะเห็นได้ว่า ประโยคนี้ค่อนข้างจะเป็นจริงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

เพราะการนำวิธีคิดจากคนที่ประสบความสำเร็จที่มักจะพยายามหาโอกาส

ที่จะทำงานให้เกิดรายได้อย่างสม่ำเสมอ

การนำความคิดแบบนี้มาใช้ จะทำให้เราร วย ขึ้นได้ไม่ช้า

ก็เร็วแน่นอนและถึงแม้ว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างคนร วย

แต่เราก็เอาความคิดของคนร วย มาใช้ ในเรื่องของการทำงาน

ความพยายามต่าง ๆ เราก็อาจจะร วย ได้

เช่นกัน เพียงแต่จะช้ากว่าการใช้ชีวิตแบบคนจน

แต่กลับกันหากเราใช้ชีวิตอย่างคนจน แต่ไม่เอาความคิดคนร วย มาใช้

ไม่นำหลักการณ์ แนวทางการทำงานต่าง ๆ มาพัฒนาตัวเราให้ดีขึ้น

เราก็จะไม่ร วย ขึ้น มีแต่จะยิ่งจนลง ๆ เพราะพิษของเงินเฟ้อนั่นเอง

การคิดอย่างคนร วย ทำยังไง?

คนร วย มักจะไม่พึ่งโชคชะตา

คนร วย จะรู้เสมอว่าสิ่งที่เขาควรจะทำนั้นมีอะไรบ้าง

เช่น การเตรียมพร้อม แน่นอนบางครั้งเราอาจจะไม่ได้รับโอกาสดี ๆ

เข้ามาในชีวิตจนเฝ้าอิจฉาคนอื่นว่า

หากเรามีโอกาสแบบนั้นอีกครั้งเราก็น่าจะทำได้ “โอกาสแบบนั้นอีกครั้ง”

คนร วย จะไม่คิดแบบนี้เด็ดขาด คนร วย จะเป็นคนที่เตรียมพร้อมอยู่เสมอ

หาความรู้ ฝึกทักษะ ทำซ้ำ จนเก่ง โดยไม่รอโอกาสก่อน

แล้วถึงค่อยลงมือทำและเมื่อถึงจังหวะเวลาที่เหมาะสม

โอกาสที่เข้ามา เขาจะคว้ามันเอาไว้

และด้วยความพร้อมที่เขามีอยู่

ก็จะทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง

จะเห็นได้ว่าการนำแนวคิดจากประโยคเพียงประโยคเดียวมาใช้

ก็สามารถที่จะช่วยให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นได้

อยู่ที่ว่าเราจะเลือกปฏิบัติตามแนวทางไหน

และมีวินัยหรือความมุมานะเพียงพอที่จะทำให้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่นั่นเอง

และสุดท้ายสิ่งที่อยากจะฝากไว้ก็คือ

การที่เราได้เรียนรู้หรือจะนำแนวคิดของใครมาปฏิบัติ

หรือมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวนั้น ไม่ว่าจะเป็นของคนร วย คนจน

คนที่ประสบความสำเร็จ หรือคนที่ล้มเหลว เราก็ต้องอย่าลืมว่า

คนนั้นไม่ใช่เรา และเราไม่สามารถเป็นเหมือนคน ๆ นั้นได้ 100%

เพราะว่าเรากับเขาเป็นคนละคนกัน

แต่อยากจะให้นำแนวคิดเหล่านั้นมาพัฒนา

ใส่ความเป็นตัวเราเข้าไป ปรับนู่นนิด นี่หน่อย

ให้เหมาะสมกับตัวเรา น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด

สู่การเป็นคนที่จะสามารถประสบความสำเร็จได้ในที่สุด

ขอบคุณที่มา : Chermarn Ratanapongtrakoon

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น

44 − = 43

Back To Top

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า