5 เทคนิคดื่มน้ำ ช่วย “ลดน้ำหนัก” ดีต่อสุขภาพ
น้ำจะทำให้ร่างกายเผ าผ ลาญแคลอรีมากขึ้น เนื่องจากน้ำทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง ร่างกายจึงต้องเผ าผล าญพลังงานเพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดสมดุลความร้อน ส่งผลให้อาหารและพลังงานถูกเผ าผ ลาญตามไปด้วย และยังช่วยลดปริมาณไขมันส่วนเกินด้วย
การดื่มน้ำเปล่าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการดื่มน้ำก่อนมื้ออาหารจะช่วยลดความอยากอาหารได้ ทำให้แคลอรีที่ได้รับจากอาหารลดลงและลดความเสี่ย งในการมีน้ำหนักเพิ่ม เมื่อดื่มน้ำเปล่ามากขึ้น ทำให้ลดโอกาสการดื่มน้ำหวาน หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ส่งผลให้ร่างกายได้รับพลังงานน้อยลง จึงควบคุมน้ำหนักได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้การดื่มน้ำเปล่าที่เพียงพอจะช่วยเรื่องสุขภาพของผิวพรรณด้วย ดังนั้นการดื่มน้ำให้เพียงพอ จึงนับเป็นปัจจัยสำคัญต่อร่างกายและช่วยชะลอความอ่อนเยาว์ได้อีกด้วย
สำหรับเทคนิคการดื่มน้ำช่วยลดน้ำหนัก สามารถปฏิบัติได้ในช่วงเวลา ดังนี้
ดื่มน้ำ 1 แก้ว หลังตื่นนอน ในเวลา 06.00 – 07.00 น.
เพื่อช่วยลดภาวะขาดน้ำจากการนอนหลับ อีกทั้งช่วยลดความข้นหนืดของเลือ ด ช่วยให้เ ลือดไหลเวียนได้ดี และกระตุ้ นการขับถ่ายได้อีกด้วย
ดื่มน้ำ 1 แก้ว ช่วงเช้า ในเวลา 08.00 – 09.00 น.
โดยดื่มน้ำก่อนมื้อเช้า 15-20 นาที แล้วค่อยกินมื้อเช้าเพราะถ้ากินอาหารตามทันที น้ำที่ไปเจือจางน้ำย่อย จะส่งผลให้การย่ อยอาหารไม่ดี และหลังอาหารให้จิบน้ำเพียงครึ่งแก้วพอ
ดื่มน้ำ 2 – 3 แก้ว ในช่วงเวลาระหว่างวัน เวลา 09.00 – 13.00 น.
ซึ่งเป็นช่วงเวลาทำงาน ให้ดื่มน้ำระหว่างวันไปเรื่อย ๆ เพื่อลดการสูญเ สียน้ำในระหว่างวัน นอกจากนี้ น้ำยังช่วยขับของเสี ยออกจากร่างกายอีกด้วย
ดื่มน้ำ 2 แก้ว ช่วงบ่ายและเย็น เวลา 13.00 – 17.00 น.
พย าย ามดื่มน้ำเปล่าในปริมาณ 2-3 แก้ว จะช่วยแก้กระหาย และทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น
ดื่มน้ำ 2 – 3 แก้ว ช่วงเย็นและก่อนนอน เวลา 18.00 – 22.00 น.
การดื่มน้ำช่วงเย็น ให้ดื่มก่อนและหลังกินมื้อเย็น และแบ่งบางส่วนไปดื่มช่วงก่อนนอน เพื่อช่วยชะล้างสิ่งตกค้างในลำไ ส้ และป้องกันร่างกายขาดน้ำขณะนอนหลับ
ทั้งนี้ หลักการลดน้ำหนักที่ดีนั้นควรลดไขมันที่เป็นส่วนเกินในร่างกาย ไม่ใช่ลดกล้ามเนื้ อ ดังนั้น อย่ าอดอาหาร ควรควบคุมอาหาร โดยเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลี่ ยงของหวาน ของมัน ของทอด ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงและเครื่องดื่มแอล กอฮ อล์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายเป็นประจำร่วมด้วย เพื่อสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน
ขอขอบคุณข้อมูล :กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข